บทที่ 2

มู่จื่อเหยี่ยนมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย นางพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ในคืนวันแต่งงาน ข้าจะทำอะไรได้? นอกจากเข้าหอกับเจ้าไงล่ะ!”

หนานกงรุ่ยหยวนคิดว่าหูของตัวเองมีปัญหา เขาแผดเสียงด้วยความโมโห “มู่จื่อเหยี่ยนเจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?”

“เจ้าจะตะโกนเสียงดังทำไมกัน ข้าไม่ได้หูหนวกเสียหน่อย!” มู่จื่อเหยี่ยนขมวดคิ้วแล้วลูบใบหู ร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย นางซบตัวลงนอนบนแผงอกของเขา แขนข้างหนึ่งค้ำศีรษะน้อย ๆ แล้วถาม “นี่ ข้ามีคำถาม เจ้านอนกับสตรีมาแล้วกี่คน?”

นางย้ำขึ้นมาอีกประโยคว่า “ข้ามีนิสัยรักความสะอาด ไม่คิดจะใช้ของต่อจากผู้ใด”

หนานกงรุ่ยหยวนที่โดนมู่จื่อเหยี่ยนยั่วโมโหจนกระอักเลือดออกมา “ข้าจะต้องสังหารเจ้าให้ได้!”

“เจ้าโมโหแล้วหรือ?”มู่จื่อเหยี่ยนไม่เข้าใจเขา นางโต้กลับว่า "หากไม่ใช่ว่าข้าโดนวางยาพิษ จะมีโอกาสมาถึงเจ้าได้อย่างไรกัน ความจริงพิธีแต่งก็เสร็จสิ้นลงแล้ว การเข้าหอเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วมิใช่หรือ?”

มู่จื่อเหยี่ยนใช้คำพูดถากถางอย่างนึกรังเกียจ “เจ้าเป็นคนเจ้าอารมณ์ถึงเพียงนี้ สตรีคนใดจะมาชอบพอกัน? คงมีเพียงข้าที่ต้องยอมฝืนทนกลั้นใจแต่งงานกับเจ้า

จ้องนางด้วยสายตาเคียดแค้น ท่าทางของเขาราวกับจะจับนางมาเฉือนเนื้อเป็นทั้งเป็น

มู่จื่อเหยี่ยนพึ่งจะพิจารณาใบหน้าของเขาอย่างละเอียด คิ้วเรียงตัวเป็นทรงกระบี่ สันจมูกที่ตรง ท่าทางที่สูงศักดิ์เย่อหยิ่ง รอบตัวแผ่กลิ่นอายของความเด็ดขาด มีความกล้าหาญแข็งแกร่งหลอมรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติ

ที่น่าดึงดูดใจคงเป็นท่าทางตอนที่เขากำลังมีโทสะลุกโชน

มู่จื่อเหยี่ยนยิ้มอย่างพึงพอใจ “ข้าชอบเจ้าตรงที่เจ้าไม่ถูกใจข้า แต่ก็ไม่อาจทำอะไรข้าได้ ทำให้ข้ารู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก ”

นางเริ่มจัดการปลดสายรัดเอวของเขา

การกระทำของนางยั่วโทสะของหนานกงรุ่ยหยวนให้ยิ่งลุกโชนมากขึ้น “เจ้ารนหาที่ตายงั้นหรือ รีบไส้หัวไปเดี๋ยวนี้!”

“ข้าอธิบายไปหมดแล้ว ว่าข้าถูกวางยา เจ้าช่วยให้ความร่วมมือกับข้าเสียหน่อย เจ้าเป็นบุรุษแท้ ๆ มีแต่ได้เปรียบ”

หนานกงรุ่ยหยวนยังคงไม่ยินยอม “เจ้าลองแตะต้องตัวข้าดูสิ!”

สตรีนางนี้ไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน กล้าให้เขาที่เป็นถึงเยี่ยนอ๋องมาเป็นเครื่องมือในการกำจัดพิษ นางคงจะใช้ชีวิตอย่างเบื่อหน่ายแล้วกระมัง?

มู่จื่อเหยี่ยนไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย นางใช้น้ำเสียงเสียดสีถามกลับเขาว่า “แตะต้องตัวเจ้าแล้วจะอย่างไร? หรือเจ้าคิดจะตะโกนเรียกให้คนมาช่วย ให้คนทั้งจวนเยี่ยนอ๋องรับรู้ว่าเจ้าโดนข้าย่ำยี? ”

หนานกงรุ่ยหยวนยังไม่เคยเจอหญิงสาวที่หน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน!

เขาตะลึงในความหน้าทนของนางจริง ๆ

หลังจากนั้น ร่างผอมบางผิวขาวผ่องก็ทาบทับมาบนร่างของเขา แม้ในใจของหนานกงรุ่ยหยวนจะไม่ยินยอม แต่ร่างกายของเขากลับตอบสนอง

ค่ำคืนแห่งความเร่าร้อน เทียนมงคลเผาไหม้จนหมดแล้วก็ดับไปแล้ว

บุรุษที่อยู่บนเตียงลืมตาขึ้น บนใบหน้ายังมีร่องรอยของโทสะ เป็นโทสะที่เพิ่มมากขึ้น เขายังจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างขึ้นใจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่เหมือนกับเป็นคืนวันแต่งงาน

เขากัดฟันกรอดพลางครุ่นคิดว่า จะต้องให้สตรีที่ไม่รู้จักความคนนี้ชดใช้ให้สาสม!

แต่ห้องหอในเวลานี้กลับว่างเปล่า แม้แต่เงาคนก็ไม่เจอแล้ว

หนานกงรุ่ยหยวนที่แต่ก่อนเคยดูแคลนคุณหนูที่ไร้ค่า สุดท้ายกลับโดนนางลอบกัด และยังเอาเขามาใช้แก้พิษอีกด้วย

เขาที่เป็นถึงเยี่ยนอ๋อง แม่ทัพผู้บัญชาการสูงสุด ไหนเลยจะรับความอัปยศนี้ได้?

หากไม่ให้บทเรียนนางสักหน่อย หนานกงรุ่ยหยวนชื่อสี่พยางค์นี้เขาจะเขียนมันกลับหัวให้ดู!

เขาฉวยชุดคลุมยาวมาสวมใส่ เดินออกมาข้างนอก เดินผ่านโต๊ะเครื่องแป้ง เห็นใต้มงกุฎหงส์มีจดหมายวางอยู่ฉบับหนึ่ง

แล้วเปิดอ่านจดหมายด้วยความประหลาดใจ บนจดหมายมีตัวหนังสือสองตัวปรากฏว่า จดหมายหย่า!

ด้านล่างจดหมายมีรายละเอียดเขียนไว้สองสามบรรทัดว่า “ข้ามู่จื่อเหยี่ยนเหตุเพราะมีความไม่ลงร่อยในความสัมพันธ์กับผู้เป็นสามีหนานกงรุ่ยหยวน จึงเขียนจดหมายหย่าฉบับนี้ นับแต่นี้ไปคนทั้งสองจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก โดยมีจดหมายฉบับนี้เป็นหลักฐาน”

ในส่วนท้ายสุดของจดหมาย มีลายมือของมู่จื่อเหยี่ยน ตัวอักษรที่เรียงร้อยต่อกันลงนามเป็นชื่อนาง และตามด้วยรอยประทับลายมือสีแดงสด

เขาที่โทสะพวยพุ่งอย่างสุดขีด นำจดหมายหย่ามาฉีกเป็นชิ้น ๆ ฝามือตบเข้าไปที่โต๊ะเครื่องแป้งดังหนึ่งฉาด!

หลังจากสิ้นเสียง “ตูม” โต๊ะเครื่องแป้งที่แกะสลักอย่างประณีตจากไม้จินสื่อหนานก็แตกออกเป็นชิ้น ๆ

มงกุฎหงส์และเครื่องประดับและเพชรนิลจินดาหล่นลงไปกองอยู่กับพื้น

เขาพูดอย่างมีโทสะ “มู่จื่อเหยี่ยน ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ตกอยู่ในมือข้าเป็นอันขาด!”

ในเวลาอันสั้น ประตูทางออกทั่วทั้งเมืองหลวงโดนสั่งปิดทันที

องค์รักษ์เกราะทองจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนเร้นอยู่ตามที่ต่าง ๆ พากันออกมาเคลื่อนไหว พวกเขาพากำลังคนค้นหาทุกซอกทุกมุมของเมืองหลวง

ชาวบ้านต่างพากันวิจารณ์ว่า กองทัพจินหลิง “ในพระราชวังเกิดเหตุอะไรกัน? แม้แต่กองทัพจินหลิงยังออกมาเคลื่อนไหว”

“เมื่อวานมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นกับคนในราชวงศ์ เยี่ยนอ๋องที่พึ่งจะแต่งงาน พระชายาที่แต่งเข้ามาชิงข้าตัวตายเสียก่อน!”

“ได้ข่าวว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องยังมีชีวิตอยู่ วันนี้ตอนเช้ากลับหายตัวอย่างไร้ร่องรอย ก่อนจากไปได้ทิ้งจดหมายหย่าฉบับหนึ่งไว้ นางคิดจะหย่ากับเยี่ยนอ๋อง”

“พระชายาเยี่ยนอ๋องช่างขวัญกล้านัก แบบนี้จะไม่ให้เยี่ยนอ๋องมีโทสะได้อย่างไร”

“นั่นสิ เยี่ยนอ๋องที่ไฟโทสะยังลุกโชนอยู่ เรียกกองทัพจินหลิงมา ตัดสินใจที่จะจับมู่จื่อเหยี่ยนให้ได้ ”

“ตอนแรกมู่จื่อเหยี่ยนมีใจที่จะแต่งให้เยี่ยนอ๋อง ผ่านไปแค่คืนเดียวทำไมถึงใจ? หรือเป็นเพราะว่าเยี่ยนอ๋อง...ไม่เก่งเรื่องนั้น”

“คำพูดเช่นนี้อย่าได้พูดเหลวไหล จะเป็นภัยต่อชีวิต!”

กลุ่มฝูงชนต่างกระซิบกระซาบข้างหูกัน ทุกคนต่างดูชอบอกชอบใจกันเป็นอย่างมาก

หลังจากชาวบ้านผ่านการคิดวิเคราะห์มาตลอดทั้งตอนเช้า ข่าวลือที่เชื่อถือไม่ได้ก็กระจายไปทั่วทั้งเมือง

ข้อที่หนึ่งเยี่ยนอ๋องป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ พระชายาเยี่ยนอ๋องเกิดรับไม่ได้ ตัดสินใจหย่าแล้วหนีไป

ข้อที่สองพระชายาเยี่ยนอ๋องมีใจให้กับชายอื่น ไม่ยินยอมที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเยี่ยนอ๋อง คืนนั้นนางจึงลักลอบหนีออกไป ทิ้งความอัปยศให้กับเยี่ยนอ๋อง

ข้อที่สามเยี่ยนอ๋องที่มีนิสัยโหดเหี้ยมและทารุณ เขาไม่ชอบให้สตรีมาดูหมิ่น จึงลงมือฆ่าพระชายาเยี่ยนอ๋องอย่างเหี้ยมโหด จากนั้นประกาศออกไปว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องหายสาบสูญเพื่อปกปิดความจริง

ณ โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง

มู่จื่อเหยี่ยนยื่นมองถนนที่เต็มไปด้วยกองทัพจินหลิง ดูแล้วช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก

“บุรุษผู้นี้ใจแคบเสียจริง เป็นเขาที่ไม่เต็มใจจะแต่งนางมิใช่หรือ? จดหมายหย่าก็เขียนแล้ว ไม่เอ่ยคำขอบคุณก็แล้วไป ยังสั่งให้คนมาจับตัวนางอีก ช่างเป็นคนไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ! ”

มู่จื่อเหยี่ยนพูดด้วยความโกรธแค้น “บุรุษในใต้หล้านี้ ไม่มีคนดีเลยสักคน!”

หลายวันมานี้ที่นางยังไม่โดนกองทัพจินหลิงจับตัวไป เป็นเพราะนางมีทักษะเปลี่ยนแปลงรูปโฉมขั้นสูง

มู่จื่อเหยี่ยนตั้งใจปั้นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ออกมาหนึ่งแผ่น ใบหน้านี้แตกต่างจากใบหน้าที่แท้จริงของนางอย่างสิ้นเชิง แม้แต่มารดาผู้ให้กำเนิดมาเห็น ยังไม่อาจแยกแยะออกว่าเป็นนางได้

นางลูบไปที่พวงแก้มของตัวเองแล้วแสดงสีหน้าอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าสุนัขตัวผู้มีฝีมืออันน้อยนิด ยังคิดจะจับข้า? รอชาติหน้าเถอะ! ”

มู่จื่อเหยี่ยนนางเป็นผู้สืบทอดตระกูลของการใช้พิษรักษาโรค มีทักษะเปลี่ยนแปลงรูปโฉมขั้นสูง การแปลงโฉมสำหรับนางแล้วนับเป็นเล็กน้อย

นางทะลุมิติมาจากโลกปัจจุบัน แต่ตอนที่นางเดินทางข้ามมิติไม่ได้มาอยู่ที่แคว้นเป่ยฉิน แต่กลับทะลุไปอยู่ที่แคว้นที่เป็นศัตรูของเป่ยฉิน นั้นคือแค้วนหนานเยี่ยน

นางเคยเป็นแม่ทัพหญิงที่แค้วนหนานเยี่ยน มีชื่อว่าเหมยจิ้งโหลว มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วใต้หล้า เป็นเพราะความประมาทชั่วครู่ นางหลงเชื่อคนผิด สุดท้ายมีจุดจบที่อันน่าอนาถ

สิ่งที่คาดไม่ถึงคือหลังจากที่ตายแล้ว นางกลับมาเป็นพระชายาของเยี่ยนอ๋องแห่งแคว้นเป่ยฉิน

เยี่ยนอ๋องคนนี้ชาติที่แล้วนางเคยต่อสู้กับเขา เป็นคนที่มีความเด็ดขาดลงมือโหดเหี้ยม

หากนางยั้งรั้งอยู่ข้างกายเขา จะต้องถูกเปิดโปงเข้าสักวัน ดังนั้นนางจึงมีความคิดที่จะหนีออกมาจากตั้งแต่แรก เอาตัวออกห่างเข้าไว้ดีที่สุด

แต่ใครจะรู้ว่าเยี่ยนอ๋องเป็นบุรุษจะมีจิตใจคับแคบเช่นนี้?

ช่างเถอะ ตอนนี้นางต้องหาที่ซ่อนตัวเพื่อหลบหนีจากการตกเป็นเป้าสายตา

รอสักระยะเวลาหนึ่ง เขาคงจะลืมว่านางมีฐานะเป็นคนสืบข่าว

แปดเดือนต่อมา

มู่จื่อเหยี่ยนที่อุ้มท้องโต หลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาหลบหนีจากการไล่ล่าของพวกทหาร นางยังคงสงสัย “เยี่ยนอ๋องยืนหยัดและอดทนได้ขนาดนี้ เวลาผ่านมานานแล้วยังคิดจะจับนางอยู่อีกหรือ?”

มู่จื่อเหยี่ยนไม่มีทางเลือกอื่น นางยังต้องหาเวลาไปซื้อยาบำรุงครรภ์อีก

กายสังขารนี้อ่อนแอและบอบช้ำเกินไป หนำซ้ำในตัวยังมีพิษที่ตกค้างอยู่เป็นจำนวนมากมาก ต้องหาซื้อของดีมาบำรุงเสียหน่อย

วันนี้มู่จื่อเหยี่ยนเข้าไปยังร้านขายยา ขณะนั้นทหารจากราชสำนักที่อยู่ยืนด้านข้างกำลังจับตามองนางอยู่

“คนที่ยืนอยู่ตรงด้านหน้าเงยหน้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”

มู่จื่อเหยี่ยนแข็งค้างไปทั้งร่าง วิ่งออกไปทันที แม้แต่ยาก็ไม่ได้หยิบไปด้วย

ทหารจากราชสำนักรับรู้ถึงความไม่ปกติ แผดเสียงด้วยความโกรธอย่างต่อเนื่อง “หยุดเดี๋ยวนี้ ห้ามวิ่ง!”

“มู่จื่อเหยี่ยน เจ้ายอมจำนนเสียเถอะ!”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป